คลอโรฟิลล์
จากการวิเคราะห์คลอโรฟิลล์จากพืชกว่า
6,000 ชนิด
ทั้งจากใต้น้ำถึงบนพื้นดิน พบว่า พืชที่ให้คลอโรฟิลล์บริสุทธิ์และดีที่สุด คือ
อัลฟาฟ่า เท่านั้น
อัลฟาฟ่า จัดเป็นพืชจำพวกที่มีฝัก (Legumes) หรือพืชตระกูลถั่ว ใบเลี้ยงคู่และมีระบบรากที่มหัศจรรย์มาก
ในบางพื้นที่ระบบรากของอัลฟาฟ่าสามารถชอนไชลงไปในดินถึงกว่า 130 ฟุต
จึงทำให้สามารถหาอาหารได้มีประสิทธิภาพมากกว่าพืชชนิดอื่น ๆ
อีกทั้งระบบการป้องกันตัวเอง
หรือป้องกันสารพิษในเซลล์ของพืชอัลฟาฟ่าก็ดีกว่าพืชชนิดต่าง ๆ
ชาวอาหรับโบราณรู้จักใช้ประโยชน์จากอัลฟาฟ่ามาตั้งแต่ 2,000 ปี ก่อนคริสตกาล โดยใช้เป็นพืชเลี้ยงสัตว์และใช้ใบมาตากแห้งชงเป็นชาบริโภค
จึงถูกขนานนามให้เป็น AL-FAS-FAH-SHA หรือ “ราชาแห่งอาหารทั้งมวล”
ประโยชน์จากต้นอัลฟาฟ่า
มักได้จากส่วนใบและลำต้น ซึ่งได้ถูกนำไปใช้สำหรับบำบัดอาการปวดข้อและอักเสบต่าง ๆ
เช่น ปวดข้อ (ARTHRITIS) ไปจนกระทั่งถึงความผิดปกติในระบบทางเดินอาหารและเซลล์ในตับถูกทำลาย
นอกจากนี้ยังเชื่อกันว่า อัลฟาฟ่า ยังสามารถช่วยให้เลือดสะอาดขึ้น
อัลฟาฟ่า เป็นพืชที่ให้กรดอะมิโนจำเป็ฯครบทั้ง 8 ชนิด
ซึ่งได้แก่ กรดอะมิโนไอโซลิวซีน ลิวซีน ไลซีน เมไธโอนีน พีนิลอะลานีน เทรโอนีน
ทริปโตฟาน และวาลีน และพบว่ากรดอะมิโนเหล่านี้ร่างกายของเราไม่สามารถสร้างเองได้
แต่จำเป็นต้องมีไว้เพื่อใช้ประโยชน์ในการสร้างเนื้อเยื่อต่าง ๆ
นอกจากนี้ในอัลฟาฟ่ายังอุดมไปด้วยวิตามินเอ บี6 ดี อี เค เกลือแร่ฟอสฟอรัส
โปแตสเซียม และแคลเซียม
คลอโรฟิลล์ (CHLOROPHYLL) เกือบ 100 ปี แห่งการค้นพบ
คลอโรฟิลล์
คือสารประกอบที่ทำให้พืชมีสีเขียวและทำหน้าที่หลัก คือ สังเคราะห์แสง (Photosynthesis) โดยการเปลี่ยนพลังงานจากแสงอาทิตย์
ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และแร่ธาตุต่าง ๆ
จากดินให้กลายเป็นสารอาหารที่จำเป็นสำหรับการเจริญเติบโตของพืช รวมทั้งให้ก๊าซออกซิเจนที่สำคัญอย่างยิ่งในการดำรงชีวิตของมนุษย์และสัตว์
คลอโรฟิลล์ธรรมชาติมีหลายชนิด บางชนิดสังเคราะห์แสงได้ในที่ที่มีแสงแดดเท่านั้น
แต่บางชนิดสังเคราะห์แสงได้แม้ในที่ไม่มีแสง เช่น ในร่างกายของคน
จึงมีการค้นคว้าเกี่ยวกับการทำงาน หรือปฏิกิริยาของคลอโรฟิลล์ต่อคน พบว่า
คลอโรฟิลล์ที่อยู่ในเซลล์ของพืชทั่วไปจะถูกปกป้องและปิดกั้นด้วยผนังหรือเยื่อหุ้มเซลล์อีกทีหนึ่ง
ทำให้ระบบย่อยอาหารปกติของร่างกายเราไม่สามารถบดย่อย
เพื่อให้ได้สารคลอโรฟิลล์เพียงพอกับความต้องการของร่างกายได้
ถึงแม้ว่าเราจะบริโภคผักใบเขียวเป็นจำนวนมากอย่างไรในแต่ละวันก็ตาม
อีกทั้งคลอโรฟิลล์โดยตัวมันเองละลายน้ำไม่ได้ จะละลายได้ในไขมัน
หรือในบางรูปของแอลกอฮอล์เท่านั้น แต่ด้วยเทคโนโลยีในปัจจุบัน
เราสามารถสกัดเอาเฉพาะสารคลอโรฟิลล์ออกมาได้อย่างสมบูรณ์และบริสุทธิ์
โดยปราศจากการสูญเสียคุณค่าทางอาหารตามธรรมชาติ
ร่างกายจึงสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ทันทีอย่างเต็มที่
และเป็นคลอโรฟิลล์ชนิดละลายน้ำได้ จึงดูดซึมได้ทันทีในกระเพาะอาหาร
ในกรณีที่ร่างกายใช้ไม่หมด จะถูกขับทิ้งไปทางระบบขับถ่าย ไม่สะสมไว้ในร่างกาย
ผิดกับคลอโรฟิลล์ชนิดที่ละลายในไขมัน จะไม่ถูกดูดซึมที่กระเพาะอาหาร
แต่จะย่อยและดูดซึมที่ลำไส้เล็ก คลอโรฟิลล์ชนิดนี้เมื่อร่างกายใช้ไม่หมด
จะถูกส่งต่อไปสะสมไว้ที่ตับ (liver) ในระยะเวลาหนึ่ง
อาจเกิดอันตรายต่อตับได้
องค์การอาหารและยาสหรัฐจึงให้การรับรองเฉพาะคลอโรฟิลล์ที่ละลายน้ำได้ (WATER SOLUBLE CHLOROPHYLL) เท่านั้น
ว่าปลอดภัยต่อการบริโภคของคน ถึงแม้ว่าจะบริโภคในปริมาณมากต่อวัน
ก็ไม่เกิดผลเสียต่อร่างกายแต่อย่างใด
ผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นก็มีเพียงอาการท้องเสียอย่างเบาบางกรณีเท่านั้น
ด้วยสูตรโครงสร้างของโมเลกุลที่ใกล้เคียงกับโมเลกุลของเม็ดเลือดแดง
ต่างกันเฉาะตรงกลางที่คลอโรฟิลล์มีแมกนีเซียม(Mg)
และเม็ดเลือดแดงมีเหล็ก
(Fe) จึงทำให้สีของมันต่างกัน
คือ คลอโรฟิลล์มีสีเขียว แต่เม็ดเลือดมีสีแดง
จากจุดนี้เองที่ทำให้คลอโรฟิลล์ถูกเรียกว่า “เลือดของพืช” (Blood of Plant)
ผลการวิจัยทางวิทยาศาสตร์การแพทย์มากมาย สรุปตรงกันว่า คลอโรฟิลล์สามารถกระตุ้นการสร้างเม็ดเลือดแดงได้
จนทำให้ผู้วิจัยได้รับรางวัลโนเบล (Nobel
Prize) ไปแล้วถึง
2 ท่านด้วยกัน คือ ดร.ริชาร์ด วินสเตตเตอร์ (DR.RICHARD WINSTATER) ศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัยออสเตรีย ในปี ค.ศ.1915 และ
ดร.ฮันส์ ฟิชเชอร์ (DR.HANS FISHER M.D.) นายแพทย์ชาวเยอรมัน
ในปีค.ศ. 1930 ผู้ซึ่งค้นพบความสัมพันธ์ระหว่างเม็ดเลือดแดงและคลอโรฟิลล์
ในบางเงื่อนไขสามารถแทนที่ศูนย์กลางของคลอโรฟิลล์ด้วยเหล็ก
(Fe) จากอาหารธรรมชาติบางประเภท
ทำให้อัตราการเพิ่มของเม็ดเลือดแดงดีขึ้น ทั้งนี้แมกนีเซียม (Mg) ที่หลุดออกไปจากศูนย์กลางโมเลกุลของคลอโรฟิลล์
ก็จะทำหน้าที่พาแคลเซียม (Ca) 2Ca-Mg เข้าไปอุดรูพรุนกระดูกต่าง ๆ
ทำให้กระดูกแข็งแรงขึ้นในโพรงกระดูกซึ่งมีไขกระดูก (Bone Marrow) อยู่ ก็จะมีการสร้างเม็ดเลือดแดงได้ในปริมาณที่มากขึ้น
(หน้าที่ของไขกระดูก คือสร้างเม็ดเลือดแดงและปรับระดับความเป็นด่างในกระแสเลือด)
จากากรทำวิจัยขององค์การอาหารและยาสหรัฐกับผู้ป่วยแผลเปิด จำนวน 3,600 ราย พบว่า
คลอโรฟิลล์ช่วยกระตุ้นให้มีการสร้างเซลล์ใหม่ให้เร็วขึ้น ทำให้แผลหายเร็วกว่าปกติ
25% ขึ้นไปและรอยแผลเป็นลดขนาดลงกว่า 50% หรือมากกว่า จากกรณีนี้ จึงมีการวิจัยต่อเกี่ยวกับการรักษาอาการเจ็บป่วยภายในร่างกายอันเป็นสาเหตุของการเกิดกลิ่นอันไม่พึงประสงค์ขึ้น
พบว่าผู้ป่วยทั้ง 1,227 ราย
กลิ่นภายในหายหมดหลังจากใช้คลอโรฟิลล์ผ่านไป 2 สัปดาห์
จึงให้การรับรองว่าเป็นยาดับกลิ่นภายใน สามารถซื้อขายได้ตามร้านขายยาและอาหารเสริม
ตั้งแต่ วันที่ 11 พฤษภาคม 1990
คลอโรฟิลล์ช่วยคุณได้อย่างไร?
จากประสบการณ์ของผู้ใช้-ผู้บริโภคทั่วโลก
ได้ข้อสรุปที่น่าสนใจของคลอโรฟิลล์ ดังนี้
- ช่วยให้เลือดสะอาด
- ช่วยให้ตับสะอาด เสริมการรักษาในผู่ป่วยตับอักเสบ
- เสริมธาตุเหล็กให้ร่างกาย
- ทำให้สดชื่น หายเหนื่อยจาการอ่อนเพลีย
- ลดความดันโลหิต ลดปัญหาเส้นเลือดหัวใจตีบตัน
- ทำให้ระดับน้ำตาลลดลงสำหรับคนไข้โรคเบาหวาน
- บรรเทาอาการโรคภูมิแพ้ แพ้อากาศ โรคหืด ผื่นลมพิษ ค่อย ๆ
ทุเลาจนหายได้
- ขับกรดจากข้อต่าง ๆ ทำให้อาการปวดข้อ ปวดเมื่อยตามตัวทุเลาและหายได้
- ขับสารพิษออกจากร่างกาย สารตกค้างของยาปฏิชีวนะ
สารเคมีตกค้างในอาหาร ทำให้ร่างกายมีภูมิต้านทานดี สุขภาพแข้งแรง สดชื่นขึ้น
-
ป้องกันและระงับการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งและช่วยเพิ่มเซลล์เม็ดเลือดแดง
- แก้ปัญหาคนท้องผูก ขับถ่ายดีขึ้น ริดสีดวงทวารทุเลาและหายได้
- ดับกลิ่นตัว กลิ่นปาก กลิ่นเท้า
โดยเฉพาะผู้ชายที่ใส่ถุงเท้าแล้วเหม็น
- แก้ปัญหาอาการชา บวมและส้นเลือดขอดให้ทุเลาลงได้
- ชะลอความแก่ ทำให้มีอายุยืน
- ยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย ใช้รักษาแผลอักเสบ
แผลเปื่อย แผลเรื้อรัง แผลถลอก แผลไฟไหม้ เหงือกอักเสบ แผลในปาก คออักเสบ
โดยใช้ผงคลอโรฟิลล์โรยบนแผล จะทำให้แผลหายเร็ว
- บรรเทาอาการปวดศีรษะทั่วไป ปวดศีรษะไมเกรน
- ช่วยแก้ปัญหาเรื่องโรคกระเพาะ ลำไส้อักเสบ ช่วยสมานแผล
- แก้ปัญหาเรื่องสิว ฝ้า ปวดประจำเดือน
ประจำเดือนมาไม่ปกติ
- ควบคุมน้ำหนัก ลดน้ำหนัก คลอเรสเตอรอลในเลือด
- มีผลต่อสุขภาพตาในคนที่เป็นต้อกระจก
ทำให้การมองเห็นดีขึ้น
- มีสารอาหารบำรุงเส้นผม ทำให้เส้นผมหงอกดำขึ้น
ช่วยลดอาการผมร่วง
- ลดอาการเมาค้าง
- ได้ทดลองกับผู้ป่วยโรคเอดส์
เมื่อรับประทานคลอโรฟิลล์เข้าไปแล้ว ทำให้ร่างกายของผู้ป่วยมีระดับภูมิคุ้มกันดีขึ้นเป็นลำดับ
ที่มา
1.Bohne C.et ol: Interaction of
enzyme-generate species with chlorophyll-alpha and probe bound to
serum albumlns (Photochem Photobiol, 1988 Sep) (MEDLINE)
2.Acheson DW, et al : Dianostic delay
due to chlorophyll in oral rehydration solution (letter) (lancet, 1987 Jan 17) (MEDLINE)
3.Chemomorsky SA,et al : Biological
actives of chlorophyll derivative, (N J Med, 1988 Aug) (MEDLINE)
4.Hooper JK, et al : Photodynamic
sensitizers from chlorophyll : purin-18 and chiorin p6 (Photochem Photobiol, 1988 Nov)(MEDLINE)
ยาเบาหวานอาจเสี่ยงต่อหัวใจ
นักวิจัยของมหาวิทยาลัยเวค ฟอเรสต์ ในสหรัฐอเมริกา
พบว่ายาแก้โรคเบาหวานชื่อ "อแวนเดีย"
ที่ผู้ป่วยเบาหวานหลายล้านคนใช้อยู่
มีส่วนทำให้ผู้ป่วยมีความเสี่ยงอย่างสูงที่จะเกิดโรคหัวใจหรือภาวะหัวใจล้มเหลว
รายงานนี้ชิ้นถูกตีพิมพ์เผยแพร่เมื่อ 12 กันยายนที่ผ่านมา
โดยผู้วิจัยระบุว่าผู้ป่วยเบาหวาน 1 ใน 30 รายที่กินยา "อแวนเดีย"
เกินกว่า 1 ปี จะมีอาการหัวใจล้มเหลว (heart
failure) และ
1 ใน 220 ผู้ป่วยจะมีปัญหาเกี่ยวกับหัวใจ ที่เรียกว่า heart attack
ซึ่งได้แก่อาการที่เลือดและออกซิเจนไปเลี้ยงหัวใจไม่เพียงพอเนื่องจากเส้นเลือดตีบ
การศึกษาครั้งนี้เฝ้าติดตามผลจากผู้ป่วยราว 14,000 คน และสรุปออกมาได้ว่า
ผู้ป่วยที่กินยาดังกล่าวมีโอกาสจะเกิด heart
attack 42%
และเสี่ยงจะเกิดหัวใจล้มเหลวเพิ่มขึ้น 2 เท่า ดังนั้น
ผู้วิจัยจึงได้แนะนำว่าผู้ป่วยควรจะได้พูดคุยกับหมอประจำตัวเกี่ยวกับความเสี่ยงของยานี้
อย่างไรก็ตาม เหมือนเช่นยาเบาหวานก็เหมือนยาอื่นๆ
คือมีทั้งคุณและโทษ เนื่องจากผลการศึกษาของอีกรายคือคลีฟแลนด์ คลีนิค
ซึ่งทำการศึกษายาแก้เบาหวานอีกยี่ห้อหนึ่งคือ แอ็คทอส
ซึ่งเป็นยาเบาหวานชนิดเดียวกับอแวนเดีย ยืนยันว่า แอ็คทอส
ช่วยลดความเสี่ยงการเกิดโรคหัวใจ ลดความเสี่ยงในการเสียชีวิต แม้ว่าในขณะเดียวกันจะเพิ่มความเสี่ยงให้เกิดภาวะหัวใจล้มเหลวอย่างรุนแรงก็ตาม
จนถึงขณะนี้ยังไม่มีข้อสรุปเกี่ยวกับยาชนิดนี้
แต่อย่างไรก็ตามเมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา องค์การอาหาร
และยาของสหรัฐได้กำหนดให้มีการติดสลากคำเตือนไว้ที่ข้างกล่องยา
ที่มา
หนังสือพิมพ์มติชน
คลอโรฟิลล์ พาวเดอร์ (Chlorophyll Powder)
"คลอโรฟิลล์ คือโลหิตของพืช
มีแร่ธาตุธรรมชาติมากมายประกอบไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ วิตามิน โปรตีน
และสารอาหารต่าง ๆ ที่มีความจำเป็นต่อร่างกายปรับความเป็นกรดเป็นด่างในร่างกาย
ของเรา มนุษย์ควรบริโภคคลอโรฟิลล์มาก ๆ เพื่อมาเสริมฮีโมโกลบิลในเม็ดเลือด
ดังคำกล่าวที่ว่า ?เลือดพืชมีสีเขียว เลือดมนุษย์มีสีแดง
มนุษย์จะมีสุขภาพที่ดีได้เลือดจะต้องไม่มีพิษ จงล้างพิษด้วยพืชสีเขียว? คลอโรฟิลล์ เป็นสารสีเขียวที่สกัดจากต้นอัลฟัลฟา (Alfalfa) สาเหตุที่เราต้องดื่มคลอโรฟิลล์ เพราะว่าการบริโภคผัก ผลไม้สดโดยตรง
อาจไม่สะดวกและที่เลวร้ายกว่านั้นผักผลไม้สดทั่วไป มักมีสารเคมีที่เป็นพิษปนเปื้อน
การดื่มคลอโรฟิลล์ ที่ผ่านกระบวนการผลิตได้มาตรฐาน จึงสามารถทดแทน
การรับประทานพืชผักบริสุทธิ์ ปริมาณมาก ๆ ได้"
คุณประโยชน์
- ช่วยในกระบวนการล้างสารพิษในเลือดและขจัดของเสียสะสมในร่างกาย
ทำให้สุขภาพดีขึ้น
- ช่วยกระตุ้นการสร้างเม็ดเลือดแดง
ฟอกเลือดให้สะอาด
- ช่วยฟื้นฟูการทำงานของตับ
- ลดปัญหาเส้นเลือดหัวใจตีบตัน
ลดปัญหาเส้นเลือดขอด
- เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ลดรอยดำคล้ำใต้ดวงตา
ทำให้ใบหน้าสดใส
- ลดอาการภูมิแพ้ ผื่นมลพิษ แพ้อากาศ
โรคหอบหืด
- บรรเทาอาการปวดประจำเดือน ปวดศีรษะ
และไมเกรน
- ลดกรดในกระเพาะอาหารและลำไส้
- บรรเทาอาการกระเพาะปัสสาวะอักเสบ
วิธีรับประทาน ผสมผงคลอโรฟิลล์1ช้อนชา
ลงในน้ำดื่มธรรมดา ใช้น้ำวันละ 1-2 ลิตร (ห้ามใช้น้ำร้อน)
เขย่าหรือคนจนเป็นสีเขียว ดื่มแทน เป็นประจำทุกวัน จะทำให้ผิวพรรณสดใส สุขภาพดี
คำแนะนำ- ผู้ป่วยโรคไทรอยด์, SLE, ธาลัสซีเมีย ควรทดลองดื่มทีละน้อยจาง ๆี- ผู้ที่ไม่รับประทานผักควรเริ่มต้นดื่มจาง ๆแล้วค่อยเพิ่มความเข้มข้นขึ้น
คำแนะนำ- ผู้ป่วยโรคไทรอยด์, SLE, ธาลัสซีเมีย ควรทดลองดื่มทีละน้อยจาง ๆี- ผู้ที่ไม่รับประทานผักควรเริ่มต้นดื่มจาง ๆแล้วค่อยเพิ่มความเข้มข้นขึ้น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น