HOME

25551117

คลอโรฟิลล์ โภชน์ชีวต้านเบาหวาน


คลอโรฟิลล์

จากการวิเคราะห์คลอโรฟิลล์จากพืชกว่า 6,000 ชนิด ทั้งจากใต้น้ำถึงบนพื้นดิน พบว่า พืชที่ให้คลอโรฟิลล์บริสุทธิ์และดีที่สุด คือ อัลฟาฟ่า เท่านั้น
อัลฟาฟ่า จัดเป็นพืชจำพวกที่มีฝัก (Legumes) หรือพืชตระกูลถั่ว ใบเลี้ยงคู่และมีระบบรากที่มหัศจรรย์มาก ในบางพื้นที่ระบบรากของอัลฟาฟ่าสามารถชอนไชลงไปในดินถึงกว่า 130 ฟุต จึงทำให้สามารถหาอาหารได้มีประสิทธิภาพมากกว่าพืชชนิดอื่น ๆ อีกทั้งระบบการป้องกันตัวเอง หรือป้องกันสารพิษในเซลล์ของพืชอัลฟาฟ่าก็ดีกว่าพืชชนิดต่าง ๆ ชาวอาหรับโบราณรู้จักใช้ประโยชน์จากอัลฟาฟ่ามาตั้งแต่ 2,000 ปี ก่อนคริสตกาล โดยใช้เป็นพืชเลี้ยงสัตว์และใช้ใบมาตากแห้งชงเป็นชาบริโภค จึงถูกขนานนามให้เป็น AL-FAS-FAH-SHA หรือ ราชาแห่งอาหารทั้งมวลประโยชน์จากต้นอัลฟาฟ่า มักได้จากส่วนใบและลำต้น ซึ่งได้ถูกนำไปใช้สำหรับบำบัดอาการปวดข้อและอักเสบต่าง ๆ เช่น ปวดข้อ (ARTHRITIS) ไปจนกระทั่งถึงความผิดปกติในระบบทางเดินอาหารและเซลล์ในตับถูกทำลาย นอกจากนี้ยังเชื่อกันว่า อัลฟาฟ่า ยังสามารถช่วยให้เลือดสะอาดขึ้น

อัลฟาฟ่า เป็นพืชที่ให้กรดอะมิโนจำเป็ฯครบทั้ง 8 ชนิด ซึ่งได้แก่ กรดอะมิโนไอโซลิวซีน ลิวซีน ไลซีน เมไธโอนีน พีนิลอะลานีน เทรโอนีน ทริปโตฟาน และวาลีน และพบว่ากรดอะมิโนเหล่านี้ร่างกายของเราไม่สามารถสร้างเองได้ แต่จำเป็นต้องมีไว้เพื่อใช้ประโยชน์ในการสร้างเนื้อเยื่อต่าง ๆ นอกจากนี้ในอัลฟาฟ่ายังอุดมไปด้วยวิตามินเอ บี6 ดี อี เค เกลือแร่ฟอสฟอรัส โปแตสเซียม และแคลเซียม

คลอโรฟิลล์ (CHLOROPHYLL) เกือบ 100 ปี แห่งการค้นพบ
คลอโรฟิลล์ คือสารประกอบที่ทำให้พืชมีสีเขียวและทำหน้าที่หลัก คือ สังเคราะห์แสง (Photosynthesis) โดยการเปลี่ยนพลังงานจากแสงอาทิตย์ ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และแร่ธาตุต่าง ๆ จากดินให้กลายเป็นสารอาหารที่จำเป็นสำหรับการเจริญเติบโตของพืช รวมทั้งให้ก๊าซออกซิเจนที่สำคัญอย่างยิ่งในการดำรงชีวิตของมนุษย์และสัตว์ คลอโรฟิลล์ธรรมชาติมีหลายชนิด บางชนิดสังเคราะห์แสงได้ในที่ที่มีแสงแดดเท่านั้น แต่บางชนิดสังเคราะห์แสงได้แม้ในที่ไม่มีแสง เช่น ในร่างกายของคน จึงมีการค้นคว้าเกี่ยวกับการทำงาน หรือปฏิกิริยาของคลอโรฟิลล์ต่อคน พบว่า คลอโรฟิลล์ที่อยู่ในเซลล์ของพืชทั่วไปจะถูกปกป้องและปิดกั้นด้วยผนังหรือเยื่อหุ้มเซลล์อีกทีหนึ่ง ทำให้ระบบย่อยอาหารปกติของร่างกายเราไม่สามารถบดย่อย เพื่อให้ได้สารคลอโรฟิลล์เพียงพอกับความต้องการของร่างกายได้ ถึงแม้ว่าเราจะบริโภคผักใบเขียวเป็นจำนวนมากอย่างไรในแต่ละวันก็ตาม อีกทั้งคลอโรฟิลล์โดยตัวมันเองละลายน้ำไม่ได้ จะละลายได้ในไขมัน หรือในบางรูปของแอลกอฮอล์เท่านั้น แต่ด้วยเทคโนโลยีในปัจจุบัน เราสามารถสกัดเอาเฉพาะสารคลอโรฟิลล์ออกมาได้อย่างสมบูรณ์และบริสุทธิ์ โดยปราศจากการสูญเสียคุณค่าทางอาหารตามธรรมชาติ ร่างกายจึงสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ทันทีอย่างเต็มที่ และเป็นคลอโรฟิลล์ชนิดละลายน้ำได้ จึงดูดซึมได้ทันทีในกระเพาะอาหาร ในกรณีที่ร่างกายใช้ไม่หมด จะถูกขับทิ้งไปทางระบบขับถ่าย ไม่สะสมไว้ในร่างกาย ผิดกับคลอโรฟิลล์ชนิดที่ละลายในไขมัน จะไม่ถูกดูดซึมที่กระเพาะอาหาร แต่จะย่อยและดูดซึมที่ลำไส้เล็ก คลอโรฟิลล์ชนิดนี้เมื่อร่างกายใช้ไม่หมด จะถูกส่งต่อไปสะสมไว้ที่ตับ (liver) ในระยะเวลาหนึ่ง อาจเกิดอันตรายต่อตับได้ องค์การอาหารและยาสหรัฐจึงให้การรับรองเฉพาะคลอโรฟิลล์ที่ละลายน้ำได้ (WATER SOLUBLE CHLOROPHYLL) เท่านั้น ว่าปลอดภัยต่อการบริโภคของคน ถึงแม้ว่าจะบริโภคในปริมาณมากต่อวัน ก็ไม่เกิดผลเสียต่อร่างกายแต่อย่างใด ผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นก็มีเพียงอาการท้องเสียอย่างเบาบางกรณีเท่านั้น

ด้วยสูตรโครงสร้างของโมเลกุลที่ใกล้เคียงกับโมเลกุลของเม็ดเลือดแดง ต่างกันเฉาะตรงกลางที่คลอโรฟิลล์มีแมกนีเซียม(Mg) และเม็ดเลือดแดงมีเหล็ก (Fe) จึงทำให้สีของมันต่างกัน คือ คลอโรฟิลล์มีสีเขียว แต่เม็ดเลือดมีสีแดง จากจุดนี้เองที่ทำให้คลอโรฟิลล์ถูกเรียกว่า เลือดของพืช” (Blood of Plant) ผลการวิจัยทางวิทยาศาสตร์การแพทย์มากมาย สรุปตรงกันว่า คลอโรฟิลล์สามารถกระตุ้นการสร้างเม็ดเลือดแดงได้ จนทำให้ผู้วิจัยได้รับรางวัลโนเบล (Nobel Prize) ไปแล้วถึง 2 ท่านด้วยกัน คือ ดร.ริชาร์ด วินสเตตเตอร์ (DR.RICHARD WINSTATER) ศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัยออสเตรีย ในปี ค.ศ.1915 และ ดร.ฮันส์ ฟิชเชอร์ (DR.HANS FISHER M.D.) นายแพทย์ชาวเยอรมัน ในปีค.ศ. 1930 ผู้ซึ่งค้นพบความสัมพันธ์ระหว่างเม็ดเลือดแดงและคลอโรฟิลล์

ในบางเงื่อนไขสามารถแทนที่ศูนย์กลางของคลอโรฟิลล์ด้วยเหล็ก (Fe) จากอาหารธรรมชาติบางประเภท ทำให้อัตราการเพิ่มของเม็ดเลือดแดงดีขึ้น ทั้งนี้แมกนีเซียม (Mg) ที่หลุดออกไปจากศูนย์กลางโมเลกุลของคลอโรฟิลล์ ก็จะทำหน้าที่พาแคลเซียม (Ca) 2Ca-Mg เข้าไปอุดรูพรุนกระดูกต่าง ๆ ทำให้กระดูกแข็งแรงขึ้นในโพรงกระดูกซึ่งมีไขกระดูก (Bone Marrow) อยู่ ก็จะมีการสร้างเม็ดเลือดแดงได้ในปริมาณที่มากขึ้น (หน้าที่ของไขกระดูก คือสร้างเม็ดเลือดแดงและปรับระดับความเป็นด่างในกระแสเลือด) จากากรทำวิจัยขององค์การอาหารและยาสหรัฐกับผู้ป่วยแผลเปิด จำนวน 3,600 ราย พบว่า คลอโรฟิลล์ช่วยกระตุ้นให้มีการสร้างเซลล์ใหม่ให้เร็วขึ้น ทำให้แผลหายเร็วกว่าปกติ 25% ขึ้นไปและรอยแผลเป็นลดขนาดลงกว่า 50% หรือมากกว่า จากกรณีนี้ จึงมีการวิจัยต่อเกี่ยวกับการรักษาอาการเจ็บป่วยภายในร่างกายอันเป็นสาเหตุของการเกิดกลิ่นอันไม่พึงประสงค์ขึ้น พบว่าผู้ป่วยทั้ง 1,227 ราย กลิ่นภายในหายหมดหลังจากใช้คลอโรฟิลล์ผ่านไป 2 สัปดาห์ จึงให้การรับรองว่าเป็นยาดับกลิ่นภายใน สามารถซื้อขายได้ตามร้านขายยาและอาหารเสริม ตั้งแต่ วันที่ 11 พฤษภาคม 1990

คลอโรฟิลล์ช่วยคุณได้อย่างไร?
จากประสบการณ์ของผู้ใช้-ผู้บริโภคทั่วโลก ได้ข้อสรุปที่น่าสนใจของคลอโรฟิลล์ ดังนี้
- ช่วยให้เลือดสะอาด
- ช่วยให้ตับสะอาด เสริมการรักษาในผู่ป่วยตับอักเสบ
- เสริมธาตุเหล็กให้ร่างกาย
- ทำให้สดชื่น หายเหนื่อยจาการอ่อนเพลีย
- ลดความดันโลหิต ลดปัญหาเส้นเลือดหัวใจตีบตัน
- ทำให้ระดับน้ำตาลลดลงสำหรับคนไข้โรคเบาหวาน
- บรรเทาอาการโรคภูมิแพ้ แพ้อากาศ โรคหืด ผื่นลมพิษ ค่อย ๆ ทุเลาจนหายได้
- ขับกรดจากข้อต่าง ๆ ทำให้อาการปวดข้อ ปวดเมื่อยตามตัวทุเลาและหายได้
- ขับสารพิษออกจากร่างกาย สารตกค้างของยาปฏิชีวนะ สารเคมีตกค้างในอาหาร ทำให้ร่างกายมีภูมิต้านทานดี สุขภาพแข้งแรง สดชื่นขึ้น
- ป้องกันและระงับการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งและช่วยเพิ่มเซลล์เม็ดเลือดแดง
- แก้ปัญหาคนท้องผูก ขับถ่ายดีขึ้น ริดสีดวงทวารทุเลาและหายได้
- ดับกลิ่นตัว กลิ่นปาก กลิ่นเท้า โดยเฉพาะผู้ชายที่ใส่ถุงเท้าแล้วเหม็น
- แก้ปัญหาอาการชา บวมและส้นเลือดขอดให้ทุเลาลงได้
- ชะลอความแก่ ทำให้มีอายุยืน
- ยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย ใช้รักษาแผลอักเสบ แผลเปื่อย แผลเรื้อรัง แผลถลอก แผลไฟไหม้ เหงือกอักเสบ แผลในปาก คออักเสบ โดยใช้ผงคลอโรฟิลล์โรยบนแผล จะทำให้แผลหายเร็ว
- บรรเทาอาการปวดศีรษะทั่วไป ปวดศีรษะไมเกรน
- ช่วยแก้ปัญหาเรื่องโรคกระเพาะ ลำไส้อักเสบ ช่วยสมานแผล
- แก้ปัญหาเรื่องสิว ฝ้า ปวดประจำเดือน ประจำเดือนมาไม่ปกติ
- ควบคุมน้ำหนัก ลดน้ำหนัก คลอเรสเตอรอลในเลือด
- มีผลต่อสุขภาพตาในคนที่เป็นต้อกระจก ทำให้การมองเห็นดีขึ้น
- มีสารอาหารบำรุงเส้นผม ทำให้เส้นผมหงอกดำขึ้น ช่วยลดอาการผมร่วง
- ลดอาการเมาค้าง
- ได้ทดลองกับผู้ป่วยโรคเอดส์ เมื่อรับประทานคลอโรฟิลล์เข้าไปแล้ว ทำให้ร่างกายของผู้ป่วยมีระดับภูมิคุ้มกันดีขึ้นเป็นลำดับ

ที่มา
1.Bohne C.et ol: Interaction of enzyme-generate species with chlorophyll-alpha and probe bound to serum albumlns (Photochem Photobiol, 1988 Sep) (MEDLINE)
2.Acheson DW, et al : Dianostic delay due to chlorophyll in oral rehydration solution (letter) (lancet, 1987 Jan 17) (MEDLINE)
3.Chemomorsky SA,et al : Biological actives of chlorophyll derivative, (N J Med, 1988 Aug) (MEDLINE)
4.Hooper JK, et al : Photodynamic sensitizers from chlorophyll : purin-18 and chiorin p6 (Photochem Photobiol, 1988 Nov)(MEDLINE)

ยาเบาหวานอาจเสี่ยงต่อหัวใจ

นักวิจัยของมหาวิทยาลัยเวค ฟอเรสต์ ในสหรัฐอเมริกา พบว่ายาแก้โรคเบาหวานชื่อ "อแวนเดีย" ที่ผู้ป่วยเบาหวานหลายล้านคนใช้อยู่ มีส่วนทำให้ผู้ป่วยมีความเสี่ยงอย่างสูงที่จะเกิดโรคหัวใจหรือภาวะหัวใจล้มเหลว รายงานนี้ชิ้นถูกตีพิมพ์เผยแพร่เมื่อ 12 กันยายนที่ผ่านมา โดยผู้วิจัยระบุว่าผู้ป่วยเบาหวาน 1 ใน 30 รายที่กินยา "อแวนเดีย" เกินกว่า 1 ปี จะมีอาการหัวใจล้มเหลว (heart failure) และ 1 ใน 220 ผู้ป่วยจะมีปัญหาเกี่ยวกับหัวใจ ที่เรียกว่า heart attack ซึ่งได้แก่อาการที่เลือดและออกซิเจนไปเลี้ยงหัวใจไม่เพียงพอเนื่องจากเส้นเลือดตีบ การศึกษาครั้งนี้เฝ้าติดตามผลจากผู้ป่วยราว 14,000 คน และสรุปออกมาได้ว่า ผู้ป่วยที่กินยาดังกล่าวมีโอกาสจะเกิด heart attack 42% และเสี่ยงจะเกิดหัวใจล้มเหลวเพิ่มขึ้น 2 เท่า ดังนั้น ผู้วิจัยจึงได้แนะนำว่าผู้ป่วยควรจะได้พูดคุยกับหมอประจำตัวเกี่ยวกับความเสี่ยงของยานี้

อย่างไรก็ตาม เหมือนเช่นยาเบาหวานก็เหมือนยาอื่นๆ คือมีทั้งคุณและโทษ เนื่องจากผลการศึกษาของอีกรายคือคลีฟแลนด์ คลีนิค ซึ่งทำการศึกษายาแก้เบาหวานอีกยี่ห้อหนึ่งคือ แอ็คทอส ซึ่งเป็นยาเบาหวานชนิดเดียวกับอแวนเดีย ยืนยันว่า แอ็คทอส ช่วยลดความเสี่ยงการเกิดโรคหัวใจ ลดความเสี่ยงในการเสียชีวิต แม้ว่าในขณะเดียวกันจะเพิ่มความเสี่ยงให้เกิดภาวะหัวใจล้มเหลวอย่างรุนแรงก็ตาม จนถึงขณะนี้ยังไม่มีข้อสรุปเกี่ยวกับยาชนิดนี้ แต่อย่างไรก็ตามเมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา องค์การอาหาร และยาของสหรัฐได้กำหนดให้มีการติดสลากคำเตือนไว้ที่ข้างกล่องยา

ที่มา
หนังสือพิมพ์มติชน


คลอโรฟิลล์ พาวเดอร์ (Chlorophyll Powder)

"คลอโรฟิลล์ คือโลหิตของพืช มีแร่ธาตุธรรมชาติมากมายประกอบไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ วิตามิน โปรตีน และสารอาหารต่าง ๆ ที่มีความจำเป็นต่อร่างกายปรับความเป็นกรดเป็นด่างในร่างกาย ของเรา มนุษย์ควรบริโภคคลอโรฟิลล์มาก ๆ เพื่อมาเสริมฮีโมโกลบิลในเม็ดเลือด ดังคำกล่าวที่ว่า ?เลือดพืชมีสีเขียว เลือดมนุษย์มีสีแดง มนุษย์จะมีสุขภาพที่ดีได้เลือดจะต้องไม่มีพิษ จงล้างพิษด้วยพืชสีเขียว? คลอโรฟิลล์ เป็นสารสีเขียวที่สกัดจากต้นอัลฟัลฟา (Alfalfa) สาเหตุที่เราต้องดื่มคลอโรฟิลล์ เพราะว่าการบริโภคผัก ผลไม้สดโดยตรง อาจไม่สะดวกและที่เลวร้ายกว่านั้นผักผลไม้สดทั่วไป มักมีสารเคมีที่เป็นพิษปนเปื้อน การดื่มคลอโรฟิลล์ ที่ผ่านกระบวนการผลิตได้มาตรฐาน จึงสามารถทดแทน การรับประทานพืชผักบริสุทธิ์ ปริมาณมาก ๆ ได้"
คุณประโยชน์
- ช่วยในกระบวนการล้างสารพิษในเลือดและขจัดของเสียสะสมในร่างกาย ทำให้สุขภาพดีขึ้น
- ช่วยกระตุ้นการสร้างเม็ดเลือดแดง ฟอกเลือดให้สะอาด
- ช่วยฟื้นฟูการทำงานของตับ
- ลดปัญหาเส้นเลือดหัวใจตีบตัน ลดปัญหาเส้นเลือดขอด
- เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ลดรอยดำคล้ำใต้ดวงตา ทำให้ใบหน้าสดใส
- ลดอาการภูมิแพ้ ผื่นมลพิษ แพ้อากาศ โรคหอบหืด
- บรรเทาอาการปวดประจำเดือน ปวดศีรษะ และไมเกรน
- ลดกรดในกระเพาะอาหารและลำไส้
- บรรเทาอาการกระเพาะปัสสาวะอักเสบ
วิธีรับประทาน ผสมผงคลอโรฟิลล์1ช้อนชา ลงในน้ำดื่มธรรมดา ใช้น้ำวันละ 1-2 ลิตร (ห้ามใช้น้ำร้อน) เขย่าหรือคนจนเป็นสีเขียว ดื่มแทน เป็นประจำทุกวัน จะทำให้ผิวพรรณสดใส สุขภาพดี
คำแนะนำ
- ผู้ป่วยโรคไทรอยด์, SLE, ธาลัสซีเมีย ควรทดลองดื่มทีละน้อยจาง ๆี- ผู้ที่ไม่รับประทานผักควรเริ่มต้นดื่มจาง ๆแล้วค่อยเพิ่มความเข้มข้นขึ้น

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น