HOME

25551117

Detox คืออะไร ทำไมต้อง Detox


Detox คืออะไร

การล้างพิษ (Detox) ย่อมาจาก Detoxification คือ การกำจัดท็อกซินออกจากร่างกาย

ท็อกซิน คือ พิษ(สารพิษ) ซึ่งเกิดจากปฏิกิริยาทางเคมีในร่างกายเราซึ่งเกิดได้หลายวิธี ทั้งเกิดจากการกินที่ผิด กับเกิดจากระบบต่าง ๆ ในร่างกายของเราบกพร่อง หรือแม้แต่การเกิดความเครียดก็ก่อให้เกิดท็อกซินได้ พูดง่าย ๆ การกินและการปฏิบัติตัวผิด ๆ ในชีวิตประจำวัน ทำให้เกิดท็อกซินในตัวเรา

ดีท็อกซ์ คือ การนำเอาสารพิษออกจากร่างกายของเราให้เร็วที่สุด เพื่อไม่ให้ตกค้างอยู่ในร่างกายจนกลายเป็นพิษเป็นภัยต่อสุขภาพ เมื่อคนเราได้รับสิ่งแปลกปลอมเข้าไปนั้น กลไกต่าง ๆ ในร่างกายจะทำหน้าที่ขจัดออกมา แต่หากได้รับเป็นจำนวนมากจนเกินไป และสะสมมาเป็นเวลานาน ระบบก็ไม่สามารถที่จะกำจัดได้หมด ยกตัวอย่างเช่น เมื่อคนเรารับประทานอาหารเข้าไป เกิดการย่อยสลาย ทำให้เกิดคราบตกค้างเกาะอยู่ตามผนังลำไส้ หมักหมมอยู่ทุกวี่ทุกวัน จนกลายเป็นกากสารพิษ ปิดกั้นไม่ให้ร่างกายเรารับสารอาหารได้เต็มที่ และลำไส้เราต้องดูดรับพิษร้ายเหล่านี้กลับเข้าสู่ระบบไหลเวียนของโลหิตเราอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่หากได้รับเป็นจำนวนมากจนเกินไป และสะสมมาเป็นเวลานาน ระบบก็ไม่สามารถที่จะกำจัดได้หมด

ดังนั้นการขจัดของเสียและสารพิษออกจากร่างกายก็เหมือนการฟอกชำระล้างระบบต่างๆ โดยเฉพาะระบบการย่อยดูดซึมอาหารและระบบไหลเวียนโลหิตให้พ้นจากสภาวะเป็นพิษ

ทำไมต้อง Detox

การล้างลำไส้ (DETOX) จะช่วยทำความสะอาดและขจัดสิ่งสกปรกของเสีย กาก อาหาร รวมทั้งสารพิษที่ตกค้างอยู่ในลำไส้ให้หมดไป เนื่องจากของเสียเหล่านี้ มักถูกขับถ่ายออกได้ไม่หมด จึงตกค้างอยู่ในลำไส้ บางครั้งจะเกาะติดอยู่ตามผนัง ของลำไส้เป็นตะกรัน เป็นอุจจาระ เนื้อเยื่อของเซลล์ที่ตาย พยาธิและน้ำเมือกที่ถูกสะสมไว้ สิ่งเหล่านี้จะเป็นผลร้ายต่อร่างกายจนทำให้เกิดอาการต่างๆ ของโรค เช่น

- ท้องผูกเรื้อรัง ถ่ายยาก ถ่ายไม่ออก
- ท้องอืด ท้องเฟ้อ เรอ และผายลมบ่อยๆ
- ปวดท้อง ท้องเสีย ถ่ายเหลวเป็นประจำ
- ปวดศีรษะ คลื่นเหียน อาเจียน เวียนศีรษะ และมีไข้ต่ำๆ ตลอดเวลา
- เหนื่อยง่าย ปากเหม็น ปากเปื่อย มีกลิ่นตัวแรง
- เป็นโรคผิวหนังเรื้อรัง มีผื่นคันขึ้นตามตัว เป็นแผล และเป็นฝีบ่อยๆ
- มีอาการหอบหืด ภูมิแพ้ เป็นลมพิษได้ง่าย
- ปวดเมื่อยตามร่างกาย ปวดตามข้อและกระดูก ตลอดจนรูมาตอยด์
- โรคมะเร็งลำไส้ มะเร็งตับ ต่อมน้ำเหลือง
- ริดสีดวงทวารภายนอก หรือภายใน เป็นต้น

ดังนั้น ผู้ที่เป็นโรคหรือมีอาการดังกล่าวนี้ จึงควรได้รับการล้างลำไส้ เพื่อขจัดของเสียและสารพิษที่คั่งค้างออกจากร่างกาย ทั้งยังสามารถลดความเสี่ยงของโรคด้วย

ที่มา
การอบรมของ บริษัท ยูนิซิตี้ มาร์เก็ตติ้ง(ไทยแลนด์)
ประโยชน์ของการ Detox

1. ช่วยทำความสะอาดลำไส้ อุจจาระ แบคทีเรียที่เป็นโทษต่อร่างกาย และสารพิษต่างๆจะถูกชะล้างออกไป ลดการสะสมสารพิษเหล่านี้ เมื่อสารพิษเหล่านี้ถูกกำจัดออกไปลำไส้จะ สามารถทำงานได้ตามปกติ

2. เป็นการบริหารกล้ามเนื้อลำไส้ ของเสียที่ตกค้างมีผลทำให้ลำไส้อ่อนแอลง และทำหน้าที่ได้ไม่เต็มที่ การล้างลำไส้จึงเป็นการช่วยส่งเสริม กล้ามเนื้อลำไส้ให้ทำงานได้มากขึ้น โดยปกติลำไส้มีหน้าที่กำจัดของเสียก็อาจเป็นไปโดยไม่สมบูรณ์ กล้ามเนื้อลำไส้ที่แข็งแรงและทำงานได้ อย่างเป็นจังหวะจะช่วยทำให้การผลักดันของเสีย เช่น กากอาหารและ อุจจาระออกจากลำไส้ได้เร็วขึ้น และไม่เกิดสารตกค้างจนกลายเป็นพิษ

3. ทำให้ลำไส้มีขนาดเป็นปกติ เมื่อลำไส้ทำงานอย่างผิดปกติ จะส่งผลให้โครงสร้างและขนาดลำไส้เปลี่ยนไป ก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพต่างๆ ตามมา การสวนล้างลำไส้ ช่วยให้ลำไส้เกิดการเคลื่อนตัว ช่วยลด อาการบวมหรือโป่งพองของลำไส้ อันเนื่องมาจากการที่มีของเสียอุดตัน บริเวณนั้น ทำให้ลำไส้มีรูปร่างปกติตามธรรมชาติ ซึ่งการรักษาทางยา ทานอาหารบางอย่างเฉพาะ บางรายท้องเดินระยะหนึ่งแล้วจะมีอาการท้องผูก อุจจาระแข็ง หรือการรักษาด้วยวิธีอื่นๆ อาจทำให้ลำไส้กลับคืนสู่รูปทรงปกติได้เพียง ระยะสั้นเท่านั้น

4. กระตุ้นจุดตอบสนองของระบบอวัยวะต่างๆ ในร่างกาย ซึ่งอวัยวะทุก ส่วนจะมีการทำงานเชื่อมต่อกับลำไส้ โดยจุดตอบสนอง การล้างลำไส้เป็นการช่วยกระตุ้นจุดที่ว่านี้ซึ่งจะส่งผลดีต่อร่างกาย โดยรวม เช่น ตับ ถุงน้ำดี ตับอ่อน ไต ต่อมน้ำเหลืองและการหมุนเวียน ของเลือด เป็นต้น

5. ทำให้ร่างกายรู้สึกสดชื่น ร่างกายของเราประกอบด้วยน้ำ 60-70% การสวนล้างลำไส้ด้วยน้ำสะอาดหรือน้ำเกลือแร่ ร่างกายโดยรวมจะ สามารถดูดซึมน้ำเหล่านั้นไปหล่อเลี้ยงเซลล์ต่างๆ เพื่อให้เซลล์เหล่านั้น ทำหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น พร้อมกับละลายและเจือจาง เมือกที่สะสมอยู่ในผนังลำไส้ให้ขับออกได้สะดวกขึ้น

เมื่อแบ่งตามกลุ่มอาการของโรค การ ดีท็อกซ์ สามารถช่วยบรรเทาอาการต่างๆ ได้ดังนี้
กลุ่มของโรคทางเดินอาหาร
โรคท้องผูก , โรคลำไส้ระคายเคือง, โรคลำไส้ใหญ่อักเสบ, อาการท้องอืดเฟ้อ อาหารไม่ย่อย, อาการมีกลิ่นปากเหม็น, ลิ้นเป็นฝ้า แผลเปื่อยในปาก
กลุ่มของโรคภูมิต้านทาน
โรคภูมิแพ้ , โรคหอบหืด, โรคลมพิษ ผื่นแพ้, ภาวะภูมิต้านทานต่ำ, โรคภูมิต่านทานไวเกินอื่นๆ เช่น รูมาตอยด์ SLE
กลุ่มโรคความเสื่อมของร่างกาย
ผิวพรรณเหี่ยวย่น , โรคข้อเสื่อม
กลุ่มโรคมะเร็ง
กลุ่มโรคทางจิตใจ
โรคเครียด , โรคนอนไม่หลับ, โรคทางกายที่เกิดจากทางใจอื่นๆ

อาการที่เกิดจากสารพิษตกค้างสะสมในร่างกาย

สารพิษตกค้างที่สะสมในร่างกาย หากขับมาไม่หมด จะเป็นบ่อเกิดของอาการเหล่านี้
- อาการปวดศีรษะบ่อย หงุดหงิด
- ปวดเมื่อยหลัง ไหล่ คอ
- มีแผลร้อนในในปากเป็นประจำ
- ดูดซึมสารอาหารจำพวกแป้งมาก และระบบเผาผลาญทำงานน้อย ทำให้ร่างกายอ้วน
- ขับถ่าย และละลายสารพิษไม่ออก จะเกิดสิวเสี้ยนบนใบหน้า และฝ้าดำบนใบหน้า
- อ่อนเพลีย ง่วงนอน สมาธิไม่ดี ความจำเสื่อม
- ประสาทตึงเครียด และร่างกายไม่แข็งแรง เพศสัมพันธ์เสื่อม
- หน้าตาหมองคล้ำ ไม่ขาวสดใส ผิวพรรณหยาบกร้าน
- ท้องผูกเรื้อรัง ถ่ายยาก ถ่ายไม่ออก
- เบื่ออาหาร ท้องอืด ท้องเฟ้อ เรอ และผายลมบ่อยๆ
- ปวดท้อง ท้องเสีย ถ่ายเหลวเป็นประจำ
- ปวดศีรษะ คลื่นเหียน อาเจียน เวียนศีรษะ และมีไข้ต่ำๆ ตลอดเวลา
- เหนื่อยง่าย ปากเหม็น ปากเปื่อย มีกลิ่นตัวแรง
- เป็นโรคผิวหนังเรื้อรัง มีผื่นคันขึ้นตามตัว เป็นแผล และเป็นฝีบ่อยๆ
- มีอาการหอบหืด ภูมิแพ้ เป็นลมพิษได้ง่าย
- ปวดเมื่อยตามร่างกาย ปวดตามข้อและกระดูก ตลอดจนรูมาตอยด์
- โรคมะเร็งลำไส้ มะเร็งตับ ต่อมน้ำเหลือง
- ริดสีดวงทวารภายนอก หรือภายใน

ดังนั้น ผู้ที่เป็นโรคหรือมีอาการดังกล่าวนี้ จึงควรได้รับการล้างลำไส้ เพื่อขจัดของเสียและสารพิษที่คั่งค้างออกจากร่างกาย ทั้งยังสามารถลดความเสี่ยงของโรคด้วย



             เนื่องจากร่างกายต้องการพื้นที่พื้นผิวของลำไส้สำหรับการดูดซึมสารอาหาร ร่างกายจึงต้องแปลงสนามเทนนิสทั้งสนามมาไว้ในลำไส้ พื้นผิวของลำไส้มีมากกว่าพื้นผิวของร่างกายภายนอกถึง ๒๐๐ เท่า

ทางเดินอาหารในร่างกายผู้ใหญ่มีความยาวประมาณ ๙ เมตร ส่วนที่ยาวที่สุดได้แก่ลำไส้เล็ก ซึ่งมีความยาวประมาณ ๗.๕ เมตร (ประมาณ27ฟุต)ลำไส้ใหญ่ยาวประมาณ ๑.๕ เมตร ลำไส้ใหญ่มีขนาดโตกว่าลำไส้เล็กกล่าวคือ มีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ ๗ เซนติเมตร ในความเป็นจริงลำไส้ไม่ได้ถูกยึดออกมายาวเท่านี้ เพราะลำไส้ที่มีชีวิตกล้ามเนื้อจะยืดและหดตัวอยู่ตลอดเวลา

ความยาวของลำไส้เล็กเมื่อเทียบกับพื้นที่ของพื้นผิวแล้วยังต่างกันมาก พื้นที่ผิวของลำไล้เล็กมีขนาดกว้างถึง ๒๕๐ ตารางเมตร หรือเท่ากับสนามเทนนิส ๒ สนามรวมกัน ที่ต้องมีพื้นที่ผิวมากมายอย่างนี้ เพราะต้องใช้สำหรับดูดซึมสารอาหารต่างๆไปเลี้ยงร่างกายและการที่มีพื้นที่มากบรรจุอยู่ในที่แคบๆได้ ก็ต้องอาศัยการพับไปพับมา และยังมีส่วนยื่นออกมาคล้ายชั้นวางของมากมาย ในแต่ละชั้นก็มีส่วนยื่นคล้ายนิ้วมือ ที่เรียกว่า วิลไล (villi) ออกมาอีก ทำให้เพิ่มพื้นที่ขึ้นไปได้อีกมาก และในวิลไลก็ยังมีไมโครวิลไล (microvilli) ด้วย เหล่านี้เป็นการเพิ่มพื้นที่ผิวทั้งนั้น

ข้อมูล เพิ่มเติมจาก หมอชาวบ้าน

เนเจอรส์ ที (Nature's T Infusion)


ผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์การล้างสารพิษในลำไส้ได้อย่างได้ผล 
Nature's T คือชาสมุนไพร Mashmallow ล้างพิษในลำไส้โดยไม่ต้องสวนทวาร รสหวานกลมกล่อม ช่วยคลายเมือกและสิ่งตกค้าง ช่วยในการระบายและย่อยอาหาร ลดคลอเลสโตรอล ลดเซลลูไลท์ แก้อาการท้องผูก ลดการสะสมของกรดยูริคปัญหาการเกิดนิ่ว โรคเก๊าท์และอาการภูมิแพ้ อีกทั้งยังช่วยขจัดกลิ่นตัวที่ไม่พึงประสงค์ด้วย
ส่วนประกอบ
- Marshmallow- Peppermint- Honey Suckle- Bearberry- Chamomile- Rosehip
- Orange Peel- Senna leaf- Bucthorn Fogbark
คุณประโยชน์
- ชาสมุนไพรล้างสารพิษในผนังลำไส้ ธรรมชาติบำบัดจากสมุนไพร 9 ชนิด ปลอดสารพิษ
- ช่วยเสริมโปรแกรมการทำ Detoxification ชงดื่มง่าย รสชาติดี แค่ดื่มก่อนนอน ไม่ต้องสวนทวาร
- เสริมการเคลื่อนตัวของลำไส้ ขับเมือกสารพิษตกค้างในระบบย่อยอาหาร
- ช่วยระบาย ทำให้ลำไส้บีบรัดและคลายตัวเคลื่อนสู่ลำไส้ใหญ่
- ช่วยสมานแผล ฝี หนองในลำไส้ ลดการอักเสบ ลดการติดเชื้อในทางเดินอาหาร เสริมระบบย่อยอาหารให้สมบูรณ์
- ลดการสะสมของกรดยูริค ปัญหาเรื่องนิ่ว โรคเก๊าท์ อาการภูมิแพ้
- ลดเซลลูไลท์ เสริมโปรแกรมควบคุมน้ำหนัก
วิธีรับประทาน
แช่ชา 1 ถุงในน้ำร้อน 250 มิลลิลิตร นาน 2-5 นาที แล้วดื่มก่อนนอนหรือหลังอาหารเย็น ควรดื่มติดต่อกัน 14 วัน หลังจากนั้น ควรดื่มสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง  

คลอโรฟิลล์ โภชน์ชีวต้านเบาหวาน


คลอโรฟิลล์

จากการวิเคราะห์คลอโรฟิลล์จากพืชกว่า 6,000 ชนิด ทั้งจากใต้น้ำถึงบนพื้นดิน พบว่า พืชที่ให้คลอโรฟิลล์บริสุทธิ์และดีที่สุด คือ อัลฟาฟ่า เท่านั้น
อัลฟาฟ่า จัดเป็นพืชจำพวกที่มีฝัก (Legumes) หรือพืชตระกูลถั่ว ใบเลี้ยงคู่และมีระบบรากที่มหัศจรรย์มาก ในบางพื้นที่ระบบรากของอัลฟาฟ่าสามารถชอนไชลงไปในดินถึงกว่า 130 ฟุต จึงทำให้สามารถหาอาหารได้มีประสิทธิภาพมากกว่าพืชชนิดอื่น ๆ อีกทั้งระบบการป้องกันตัวเอง หรือป้องกันสารพิษในเซลล์ของพืชอัลฟาฟ่าก็ดีกว่าพืชชนิดต่าง ๆ ชาวอาหรับโบราณรู้จักใช้ประโยชน์จากอัลฟาฟ่ามาตั้งแต่ 2,000 ปี ก่อนคริสตกาล โดยใช้เป็นพืชเลี้ยงสัตว์และใช้ใบมาตากแห้งชงเป็นชาบริโภค จึงถูกขนานนามให้เป็น AL-FAS-FAH-SHA หรือ ราชาแห่งอาหารทั้งมวลประโยชน์จากต้นอัลฟาฟ่า มักได้จากส่วนใบและลำต้น ซึ่งได้ถูกนำไปใช้สำหรับบำบัดอาการปวดข้อและอักเสบต่าง ๆ เช่น ปวดข้อ (ARTHRITIS) ไปจนกระทั่งถึงความผิดปกติในระบบทางเดินอาหารและเซลล์ในตับถูกทำลาย นอกจากนี้ยังเชื่อกันว่า อัลฟาฟ่า ยังสามารถช่วยให้เลือดสะอาดขึ้น

อัลฟาฟ่า เป็นพืชที่ให้กรดอะมิโนจำเป็ฯครบทั้ง 8 ชนิด ซึ่งได้แก่ กรดอะมิโนไอโซลิวซีน ลิวซีน ไลซีน เมไธโอนีน พีนิลอะลานีน เทรโอนีน ทริปโตฟาน และวาลีน และพบว่ากรดอะมิโนเหล่านี้ร่างกายของเราไม่สามารถสร้างเองได้ แต่จำเป็นต้องมีไว้เพื่อใช้ประโยชน์ในการสร้างเนื้อเยื่อต่าง ๆ นอกจากนี้ในอัลฟาฟ่ายังอุดมไปด้วยวิตามินเอ บี6 ดี อี เค เกลือแร่ฟอสฟอรัส โปแตสเซียม และแคลเซียม

คลอโรฟิลล์ (CHLOROPHYLL) เกือบ 100 ปี แห่งการค้นพบ
คลอโรฟิลล์ คือสารประกอบที่ทำให้พืชมีสีเขียวและทำหน้าที่หลัก คือ สังเคราะห์แสง (Photosynthesis) โดยการเปลี่ยนพลังงานจากแสงอาทิตย์ ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และแร่ธาตุต่าง ๆ จากดินให้กลายเป็นสารอาหารที่จำเป็นสำหรับการเจริญเติบโตของพืช รวมทั้งให้ก๊าซออกซิเจนที่สำคัญอย่างยิ่งในการดำรงชีวิตของมนุษย์และสัตว์ คลอโรฟิลล์ธรรมชาติมีหลายชนิด บางชนิดสังเคราะห์แสงได้ในที่ที่มีแสงแดดเท่านั้น แต่บางชนิดสังเคราะห์แสงได้แม้ในที่ไม่มีแสง เช่น ในร่างกายของคน จึงมีการค้นคว้าเกี่ยวกับการทำงาน หรือปฏิกิริยาของคลอโรฟิลล์ต่อคน พบว่า คลอโรฟิลล์ที่อยู่ในเซลล์ของพืชทั่วไปจะถูกปกป้องและปิดกั้นด้วยผนังหรือเยื่อหุ้มเซลล์อีกทีหนึ่ง ทำให้ระบบย่อยอาหารปกติของร่างกายเราไม่สามารถบดย่อย เพื่อให้ได้สารคลอโรฟิลล์เพียงพอกับความต้องการของร่างกายได้ ถึงแม้ว่าเราจะบริโภคผักใบเขียวเป็นจำนวนมากอย่างไรในแต่ละวันก็ตาม อีกทั้งคลอโรฟิลล์โดยตัวมันเองละลายน้ำไม่ได้ จะละลายได้ในไขมัน หรือในบางรูปของแอลกอฮอล์เท่านั้น แต่ด้วยเทคโนโลยีในปัจจุบัน เราสามารถสกัดเอาเฉพาะสารคลอโรฟิลล์ออกมาได้อย่างสมบูรณ์และบริสุทธิ์ โดยปราศจากการสูญเสียคุณค่าทางอาหารตามธรรมชาติ ร่างกายจึงสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ทันทีอย่างเต็มที่ และเป็นคลอโรฟิลล์ชนิดละลายน้ำได้ จึงดูดซึมได้ทันทีในกระเพาะอาหาร ในกรณีที่ร่างกายใช้ไม่หมด จะถูกขับทิ้งไปทางระบบขับถ่าย ไม่สะสมไว้ในร่างกาย ผิดกับคลอโรฟิลล์ชนิดที่ละลายในไขมัน จะไม่ถูกดูดซึมที่กระเพาะอาหาร แต่จะย่อยและดูดซึมที่ลำไส้เล็ก คลอโรฟิลล์ชนิดนี้เมื่อร่างกายใช้ไม่หมด จะถูกส่งต่อไปสะสมไว้ที่ตับ (liver) ในระยะเวลาหนึ่ง อาจเกิดอันตรายต่อตับได้ องค์การอาหารและยาสหรัฐจึงให้การรับรองเฉพาะคลอโรฟิลล์ที่ละลายน้ำได้ (WATER SOLUBLE CHLOROPHYLL) เท่านั้น ว่าปลอดภัยต่อการบริโภคของคน ถึงแม้ว่าจะบริโภคในปริมาณมากต่อวัน ก็ไม่เกิดผลเสียต่อร่างกายแต่อย่างใด ผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นก็มีเพียงอาการท้องเสียอย่างเบาบางกรณีเท่านั้น

ด้วยสูตรโครงสร้างของโมเลกุลที่ใกล้เคียงกับโมเลกุลของเม็ดเลือดแดง ต่างกันเฉาะตรงกลางที่คลอโรฟิลล์มีแมกนีเซียม(Mg) และเม็ดเลือดแดงมีเหล็ก (Fe) จึงทำให้สีของมันต่างกัน คือ คลอโรฟิลล์มีสีเขียว แต่เม็ดเลือดมีสีแดง จากจุดนี้เองที่ทำให้คลอโรฟิลล์ถูกเรียกว่า เลือดของพืช” (Blood of Plant) ผลการวิจัยทางวิทยาศาสตร์การแพทย์มากมาย สรุปตรงกันว่า คลอโรฟิลล์สามารถกระตุ้นการสร้างเม็ดเลือดแดงได้ จนทำให้ผู้วิจัยได้รับรางวัลโนเบล (Nobel Prize) ไปแล้วถึง 2 ท่านด้วยกัน คือ ดร.ริชาร์ด วินสเตตเตอร์ (DR.RICHARD WINSTATER) ศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัยออสเตรีย ในปี ค.ศ.1915 และ ดร.ฮันส์ ฟิชเชอร์ (DR.HANS FISHER M.D.) นายแพทย์ชาวเยอรมัน ในปีค.ศ. 1930 ผู้ซึ่งค้นพบความสัมพันธ์ระหว่างเม็ดเลือดแดงและคลอโรฟิลล์

ในบางเงื่อนไขสามารถแทนที่ศูนย์กลางของคลอโรฟิลล์ด้วยเหล็ก (Fe) จากอาหารธรรมชาติบางประเภท ทำให้อัตราการเพิ่มของเม็ดเลือดแดงดีขึ้น ทั้งนี้แมกนีเซียม (Mg) ที่หลุดออกไปจากศูนย์กลางโมเลกุลของคลอโรฟิลล์ ก็จะทำหน้าที่พาแคลเซียม (Ca) 2Ca-Mg เข้าไปอุดรูพรุนกระดูกต่าง ๆ ทำให้กระดูกแข็งแรงขึ้นในโพรงกระดูกซึ่งมีไขกระดูก (Bone Marrow) อยู่ ก็จะมีการสร้างเม็ดเลือดแดงได้ในปริมาณที่มากขึ้น (หน้าที่ของไขกระดูก คือสร้างเม็ดเลือดแดงและปรับระดับความเป็นด่างในกระแสเลือด) จากากรทำวิจัยขององค์การอาหารและยาสหรัฐกับผู้ป่วยแผลเปิด จำนวน 3,600 ราย พบว่า คลอโรฟิลล์ช่วยกระตุ้นให้มีการสร้างเซลล์ใหม่ให้เร็วขึ้น ทำให้แผลหายเร็วกว่าปกติ 25% ขึ้นไปและรอยแผลเป็นลดขนาดลงกว่า 50% หรือมากกว่า จากกรณีนี้ จึงมีการวิจัยต่อเกี่ยวกับการรักษาอาการเจ็บป่วยภายในร่างกายอันเป็นสาเหตุของการเกิดกลิ่นอันไม่พึงประสงค์ขึ้น พบว่าผู้ป่วยทั้ง 1,227 ราย กลิ่นภายในหายหมดหลังจากใช้คลอโรฟิลล์ผ่านไป 2 สัปดาห์ จึงให้การรับรองว่าเป็นยาดับกลิ่นภายใน สามารถซื้อขายได้ตามร้านขายยาและอาหารเสริม ตั้งแต่ วันที่ 11 พฤษภาคม 1990

คลอโรฟิลล์ช่วยคุณได้อย่างไร?
จากประสบการณ์ของผู้ใช้-ผู้บริโภคทั่วโลก ได้ข้อสรุปที่น่าสนใจของคลอโรฟิลล์ ดังนี้
- ช่วยให้เลือดสะอาด
- ช่วยให้ตับสะอาด เสริมการรักษาในผู่ป่วยตับอักเสบ
- เสริมธาตุเหล็กให้ร่างกาย
- ทำให้สดชื่น หายเหนื่อยจาการอ่อนเพลีย
- ลดความดันโลหิต ลดปัญหาเส้นเลือดหัวใจตีบตัน
- ทำให้ระดับน้ำตาลลดลงสำหรับคนไข้โรคเบาหวาน
- บรรเทาอาการโรคภูมิแพ้ แพ้อากาศ โรคหืด ผื่นลมพิษ ค่อย ๆ ทุเลาจนหายได้
- ขับกรดจากข้อต่าง ๆ ทำให้อาการปวดข้อ ปวดเมื่อยตามตัวทุเลาและหายได้
- ขับสารพิษออกจากร่างกาย สารตกค้างของยาปฏิชีวนะ สารเคมีตกค้างในอาหาร ทำให้ร่างกายมีภูมิต้านทานดี สุขภาพแข้งแรง สดชื่นขึ้น
- ป้องกันและระงับการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งและช่วยเพิ่มเซลล์เม็ดเลือดแดง
- แก้ปัญหาคนท้องผูก ขับถ่ายดีขึ้น ริดสีดวงทวารทุเลาและหายได้
- ดับกลิ่นตัว กลิ่นปาก กลิ่นเท้า โดยเฉพาะผู้ชายที่ใส่ถุงเท้าแล้วเหม็น
- แก้ปัญหาอาการชา บวมและส้นเลือดขอดให้ทุเลาลงได้
- ชะลอความแก่ ทำให้มีอายุยืน
- ยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย ใช้รักษาแผลอักเสบ แผลเปื่อย แผลเรื้อรัง แผลถลอก แผลไฟไหม้ เหงือกอักเสบ แผลในปาก คออักเสบ โดยใช้ผงคลอโรฟิลล์โรยบนแผล จะทำให้แผลหายเร็ว
- บรรเทาอาการปวดศีรษะทั่วไป ปวดศีรษะไมเกรน
- ช่วยแก้ปัญหาเรื่องโรคกระเพาะ ลำไส้อักเสบ ช่วยสมานแผล
- แก้ปัญหาเรื่องสิว ฝ้า ปวดประจำเดือน ประจำเดือนมาไม่ปกติ
- ควบคุมน้ำหนัก ลดน้ำหนัก คลอเรสเตอรอลในเลือด
- มีผลต่อสุขภาพตาในคนที่เป็นต้อกระจก ทำให้การมองเห็นดีขึ้น
- มีสารอาหารบำรุงเส้นผม ทำให้เส้นผมหงอกดำขึ้น ช่วยลดอาการผมร่วง
- ลดอาการเมาค้าง
- ได้ทดลองกับผู้ป่วยโรคเอดส์ เมื่อรับประทานคลอโรฟิลล์เข้าไปแล้ว ทำให้ร่างกายของผู้ป่วยมีระดับภูมิคุ้มกันดีขึ้นเป็นลำดับ

ที่มา
1.Bohne C.et ol: Interaction of enzyme-generate species with chlorophyll-alpha and probe bound to serum albumlns (Photochem Photobiol, 1988 Sep) (MEDLINE)
2.Acheson DW, et al : Dianostic delay due to chlorophyll in oral rehydration solution (letter) (lancet, 1987 Jan 17) (MEDLINE)
3.Chemomorsky SA,et al : Biological actives of chlorophyll derivative, (N J Med, 1988 Aug) (MEDLINE)
4.Hooper JK, et al : Photodynamic sensitizers from chlorophyll : purin-18 and chiorin p6 (Photochem Photobiol, 1988 Nov)(MEDLINE)

ยาเบาหวานอาจเสี่ยงต่อหัวใจ

นักวิจัยของมหาวิทยาลัยเวค ฟอเรสต์ ในสหรัฐอเมริกา พบว่ายาแก้โรคเบาหวานชื่อ "อแวนเดีย" ที่ผู้ป่วยเบาหวานหลายล้านคนใช้อยู่ มีส่วนทำให้ผู้ป่วยมีความเสี่ยงอย่างสูงที่จะเกิดโรคหัวใจหรือภาวะหัวใจล้มเหลว รายงานนี้ชิ้นถูกตีพิมพ์เผยแพร่เมื่อ 12 กันยายนที่ผ่านมา โดยผู้วิจัยระบุว่าผู้ป่วยเบาหวาน 1 ใน 30 รายที่กินยา "อแวนเดีย" เกินกว่า 1 ปี จะมีอาการหัวใจล้มเหลว (heart failure) และ 1 ใน 220 ผู้ป่วยจะมีปัญหาเกี่ยวกับหัวใจ ที่เรียกว่า heart attack ซึ่งได้แก่อาการที่เลือดและออกซิเจนไปเลี้ยงหัวใจไม่เพียงพอเนื่องจากเส้นเลือดตีบ การศึกษาครั้งนี้เฝ้าติดตามผลจากผู้ป่วยราว 14,000 คน และสรุปออกมาได้ว่า ผู้ป่วยที่กินยาดังกล่าวมีโอกาสจะเกิด heart attack 42% และเสี่ยงจะเกิดหัวใจล้มเหลวเพิ่มขึ้น 2 เท่า ดังนั้น ผู้วิจัยจึงได้แนะนำว่าผู้ป่วยควรจะได้พูดคุยกับหมอประจำตัวเกี่ยวกับความเสี่ยงของยานี้

อย่างไรก็ตาม เหมือนเช่นยาเบาหวานก็เหมือนยาอื่นๆ คือมีทั้งคุณและโทษ เนื่องจากผลการศึกษาของอีกรายคือคลีฟแลนด์ คลีนิค ซึ่งทำการศึกษายาแก้เบาหวานอีกยี่ห้อหนึ่งคือ แอ็คทอส ซึ่งเป็นยาเบาหวานชนิดเดียวกับอแวนเดีย ยืนยันว่า แอ็คทอส ช่วยลดความเสี่ยงการเกิดโรคหัวใจ ลดความเสี่ยงในการเสียชีวิต แม้ว่าในขณะเดียวกันจะเพิ่มความเสี่ยงให้เกิดภาวะหัวใจล้มเหลวอย่างรุนแรงก็ตาม จนถึงขณะนี้ยังไม่มีข้อสรุปเกี่ยวกับยาชนิดนี้ แต่อย่างไรก็ตามเมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา องค์การอาหาร และยาของสหรัฐได้กำหนดให้มีการติดสลากคำเตือนไว้ที่ข้างกล่องยา

ที่มา
หนังสือพิมพ์มติชน


คลอโรฟิลล์ พาวเดอร์ (Chlorophyll Powder)

"คลอโรฟิลล์ คือโลหิตของพืช มีแร่ธาตุธรรมชาติมากมายประกอบไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ วิตามิน โปรตีน และสารอาหารต่าง ๆ ที่มีความจำเป็นต่อร่างกายปรับความเป็นกรดเป็นด่างในร่างกาย ของเรา มนุษย์ควรบริโภคคลอโรฟิลล์มาก ๆ เพื่อมาเสริมฮีโมโกลบิลในเม็ดเลือด ดังคำกล่าวที่ว่า ?เลือดพืชมีสีเขียว เลือดมนุษย์มีสีแดง มนุษย์จะมีสุขภาพที่ดีได้เลือดจะต้องไม่มีพิษ จงล้างพิษด้วยพืชสีเขียว? คลอโรฟิลล์ เป็นสารสีเขียวที่สกัดจากต้นอัลฟัลฟา (Alfalfa) สาเหตุที่เราต้องดื่มคลอโรฟิลล์ เพราะว่าการบริโภคผัก ผลไม้สดโดยตรง อาจไม่สะดวกและที่เลวร้ายกว่านั้นผักผลไม้สดทั่วไป มักมีสารเคมีที่เป็นพิษปนเปื้อน การดื่มคลอโรฟิลล์ ที่ผ่านกระบวนการผลิตได้มาตรฐาน จึงสามารถทดแทน การรับประทานพืชผักบริสุทธิ์ ปริมาณมาก ๆ ได้"
คุณประโยชน์
- ช่วยในกระบวนการล้างสารพิษในเลือดและขจัดของเสียสะสมในร่างกาย ทำให้สุขภาพดีขึ้น
- ช่วยกระตุ้นการสร้างเม็ดเลือดแดง ฟอกเลือดให้สะอาด
- ช่วยฟื้นฟูการทำงานของตับ
- ลดปัญหาเส้นเลือดหัวใจตีบตัน ลดปัญหาเส้นเลือดขอด
- เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ลดรอยดำคล้ำใต้ดวงตา ทำให้ใบหน้าสดใส
- ลดอาการภูมิแพ้ ผื่นมลพิษ แพ้อากาศ โรคหอบหืด
- บรรเทาอาการปวดประจำเดือน ปวดศีรษะ และไมเกรน
- ลดกรดในกระเพาะอาหารและลำไส้
- บรรเทาอาการกระเพาะปัสสาวะอักเสบ
วิธีรับประทาน ผสมผงคลอโรฟิลล์1ช้อนชา ลงในน้ำดื่มธรรมดา ใช้น้ำวันละ 1-2 ลิตร (ห้ามใช้น้ำร้อน) เขย่าหรือคนจนเป็นสีเขียว ดื่มแทน เป็นประจำทุกวัน จะทำให้ผิวพรรณสดใส สุขภาพดี
คำแนะนำ
- ผู้ป่วยโรคไทรอยด์, SLE, ธาลัสซีเมีย ควรทดลองดื่มทีละน้อยจาง ๆี- ผู้ที่ไม่รับประทานผักควรเริ่มต้นดื่มจาง ๆแล้วค่อยเพิ่มความเข้มข้นขึ้น